KOREA
2009 ปีแห่ง 9 สาว โซนยอชิแด (So Nyeo Shi Dae) เริ่มต้นด้วย ‘Gee’ ปิดท้ายด้วยคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในชีวิต (2009-11-11)
โซนยอชิแด (So Nyeo Shi Dae) เปิดตัวเข้าสู่วงการเป็นครั้งแรกในวันที่ 5 สิงหาคม 2550 ผ่านทางรายการเพลงโทรทัศน์สาธารณะ SBS ‘Ingygayo’ พร้อมกับเพลง ‘Into the new World’ พวกเธอเป็นศิลปินภายใต้สังกัด SM Entertainment ค่ายเพลงที่มีศิลปินบอยแบนด์ชื่อดังในเวลานั้นอย่าง ดงบังชินกิ (Dong Bang Shin Ki, TVXQ!) และ ซุปเปอร์จูเนียร์ (Super Junior) ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการพยายามจะต่อยอดจากความสำเร็จของกลุ่มนักร้องไอดอลชายจากการเปิดเผยของต้นสังกัดในเวลานั้น
โซนยอชิแด (소녀시대) หรือแปลได้ว่า "ยุคแห่งเด็กสาว" ประกอบไปด้วยสมาก 9 คน และจากการเดบิวในครั้งนั้น จากประสบการณ์ของค่ายยักษ์ใหญ่นี้ทำให้การเปิดตัวของสมาชิกในวงได้รับความสนใจจากผู้ฟัง ซึ่งเกิดขึ้นจากแผนการตลาดด้วยการนำวีดีโอคลิปแนะนำตัวสมาชิกแต่ละคนทะยอยนำมาปล่อยในอินเตอร์เน็ตทุกๆวัน จนครบทั้ง 9 คนนั่นเอง
โซนยอชิแด ประกอบไปด้วย แทยอน (Taeyeon) ซันนี่ (Sunny) ยูริ (Yuri) ทิฟฟานี่ (Tiffany) ยุนอา (Yoon Ah) ซูยอง (Soo Young) เจสสิก้า (Jessica) ฮโยยอน (Hyo Yeon) และ ซอฮยอน (Seo Hyun) ทางด้าน เจสสิก้า และ ทิฟฟานี่ มีความเชี่ยวชาญในภาษาอังกฤษมากเนื่องจากเธอเติบโตที่อเมริกา ส่วน ฮโยยอน สามารถพูดภาษาจีนได้ และ ซูยอง ก็พูดญี่ปุ่นได้ด้วยเช่นกัน
หลังจากได้รับความสนใจจากแฟนเพลงในผลงานเพลงไตเติ้ลในซิงเกิ้ลแรก ‘Into the new World’ สองสมาชิกอย่าง ซูยอง ยูริ ก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมในผลงานละครซิทคอม Unstoppable Wedding ตามด้วยการได้รับเลือกให้เป็นฑูตองค์กรเนตรนารีแห่งประเทศเกาหลี
โซนยอชิแด กลับมาอีกครั้งพร้อมกับผลงานเพลงอัลบั้มชุดที่ 1 ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 ที่มาพร้อมกับเพลงไตเติ้ลรีเมคของ อีซึงชอล อย่าง 소녀시대(Girls Generation) รวมถึงเพลงฮิตไม่ว่าจะเป็น ‘Baby Baby’, ‘Kissing You’, ‘Honey’ และเพลงดูเอ็ทระหว่าง คังทา (Kang Ta) และ แทยอน (Tae Yeon) อย่าง ‘7989’ ที่เผยให้เห็นถึงมิตรภาพของพี่น้องในค่ายได้เป็นอย่างดี
หลังจากนั้นในเดือนมกราคม 2551 แทยอน หัวหน้าวงก็ได้รับงานสุดท้าทายคือการได้ร่วมขับร้องในเพลง ‘If’ ประกอบผลงานละครเรื่อง ‘Hong Gil Dong’ (แสดงโดย คังจีฮวาน ซองยูริ จางกึนซอก) จนภายหลังได้สร้างชื่อให้กับเธอเป็นอย่างมากกับความสามารถในการขับร้องเพลงที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้ อีกทั้งเพลงนี้ยังได้รับรางวัลเพลงประจำเดือนในงาน Cyworld Digital Music Award อีกด้วยเช่นกัน
มีนาคม 2551 โซนยอชิแด เริ่มก้าวเข้าสู่อาชีพการเป็นดีเจด้วยการที่แทยอนได้รับเลือกให้เป็นดีเจแทน โจจองริน ที่ถอนตัวออกไปกับรายการวิทยุอย่าง MBC FM4U ‘Best Friend (ชินฮันชินกู)’ ซึ่งภายหลังเธอก็ได้จัดรายการร่วมกับ คังอิน (Kang In) แห่ง ซุปเปอร์จูเนียร์ จนได้รับความนิยมจากแฟนๆเป็นอย่างมาก
เมษายน 2551 สิ่งที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนซึ่งได้สร้างชื่อให้กับ โซนยอชิแด เป็นอย่างมากคือการที่ ยุนอา (Yoon Ah) ได้รับเลือกให้เป็นนักแสดงหลักในผลงานละครประจำวันเรื่องยาวอย่าง ‘You Are My Destiny’ โดยเธอได้ประกบคู่กับ พัคแจจอง (Park Jae Jung) และในช่วงเวลาเดียวกันข่าวดีที่พวกเธอได้รับคือยอดจำหน่ายของอัลบั้มชุดแรก ‘Girls’ Generation’ สามารถทำยอดจำหน่ายทะลุ 100,000 ชุดได้เป็นครั้งแรก
หลังจากที่ โซนยอชิแด ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง พวกเธอเคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวแห่งหนึ่ง แทยอน เผย “เราต้องทำงานกันอย่างหนักโดยไม่ได้พักเลยในตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าพวกเราจะค่อนข้างเครียด แต่การตอบรับในเพลงของพวกเราก็ดีมากกว่าที่เราคิดเอาไว้ค่ะ สมาชิกในวงทุกคนต่างก็รู้สึกดีใจที่ได้รับการสนับสนุนและความรักจากแฟนๆ บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเพลงรีเมคของรุ่นพี่ อีซึงชอล ในเพลง Girls Generation ที่ช่วยให้พวกเราเข้าไปนั่งอยู่ในใจของคนวัย 30-40 ปีและวัยอื่นๆได้ด้วยมั้งคะ”
“พวกเราร้องไห้กันอย่างมากเมื่อตอนที่เราได้รับรางวัลที่ 1 สำหรับเพลง Into The New World และได้เป็นผู้ชนะเลิศในรางวัล “ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม” ที่งานประกาศผลรางวัลเมื่อปลายปีที่ผ่านมา แต่น้ำตาในวันนั้นมันแตกต่างกับน้ำตาที่เราเคยหลั่งเมื่อยามเราที่โดดเดียวและมีเวลาที่ยากลำบากตอนที่เราฝึกก่อนการเป็นนักร้องค่ะ น้ำตาที่หลั่งมาในตอนนี้คือน้ำตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักจากแฟนๆของพวกเรา”
ช่วงนี้นับเป็นช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ของ โซนยอชิแด เลยก็ว่าได้ พวกเธอได้กลายเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าชื่อดังต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็น PMP, Viliv, Goobne Chicken, Sunkist Sweetade, Viliv, Ellesse รวมถึง 3 สมาชิกอย่าง เจสสิก้า ทิฟฟานี่ ซอฮยอน (เจทิฮยอน) ก็ยังได้มีผลงานโปรเจคพิเศษในเพลง ‘Bad Oppa’ ออกมาอีกด้วยเช่นกัน
เมื่อเข้าสู่เดือนพฤษภาคม โซนยอชิแด ได้มีงานแฟนมีทติ้งเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการซึ่งร่วมจัดกับ Star Hwabo โดยในวันนั้นมีแฟนๆเข้าร่วมงานกว่า 1,000 คนเลยทีเดียว
แต่ทว่ากับคำพูด ‘ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ’ นั่นก็ดูเหมือนจะได้กลายมาเป็นบทพิสูจน์ถึงความอดทนของการมีชีวิตเป็นคนบันเทิงของพวกเธอเป็นครั้งแรก โซนยอชิแด ถูกกระแสข่าวลือและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์แทยอนกับหนึ่งนักร้องในค่ายในคอนเสิร์ต Hollywood Bowl, การวิจารณ์สำเนียงภาษาอังกฤษ คิมจีซอก ของทิฟฟานี่ รวมไปถึงการล้อเลียน จอนจิน ออกอากาศ, การใช้คำพูดที่ผิดรูปแบบของยูริ รวมไปถึงเหตุการณ์บอยคอตต์ โซนยอชิแด ด้วยการไม่ส่งเสียงและดับแท่งไฟใน ‘Dream Concert 2008 (7 มิถุนายน 2551)’ ซึ่งได้สร้างความช็อคให้กับผู้คนในวงการได้เป็นอย่างมาก
สุดท้ายแล้วในวันที่ 13 มิถุนายน 2551 พวกเธอก็ได้ออกมาเผยเอกสารเปิดผนึกเป็นครั้งแรกผ่านทางเว็บไซต์หลัก
โซนยอชิแด กล่าว “ตลอดระยะเวลา 10 เดือนที่ผ่านมา การที่พวกเราทำงานกันอย่างไม่เคยพักผ่อน ส่งผลให้สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือความทรงจำที่เราควรเก็บถนอมเอาไว้… แต่เมื่อเรามองกลับไป มันก็มีช่วงเวลาที่พวกเรารู้สึกเสียใจ.. พวกเรารู้สึกทรมานใจ… ช่วงเวลาเหล่านั้นมันได้ทำให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นและทบทวนในสิ่งต่างๆได้มากขึ้น…. ทั้งคำพูดที่ไม่เหมาะควร และการกระทำที่ไม่เหมาะสม การใช้คำพูดที่แบ่งลำดับชั้นอาวุโสที่ใช้ในระหว่างการออกรายการทีวีอย่างผิดรูปแบบ … พวกเราอยากจะขอโทษจากใจจริงไปสู่ผู้ที่ได้รับผลกระทบและมีบาดแผลที่เกิดจากการกระทำของพวกเรา.. ในอนาคต.. โซนยอชิแด จะระมัดระวังในการใช้คำพูดรวมไปถึงการประพฤติตนให้มากยิ่งขึ้น”
“พวกเราอยากจะขอบคุณทุกคนที่เชื่อและรักในตัวเรา…สำหรับแฟนๆที่ส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจพวกเราในทุกที่ทุกเวลา คอยถือบอลลูนสีชมพูรูปหัวใจ…เราไม่คิดว่าจะสามารถหาคำพูดใดๆที่จะมาบรรยายความรู้สึกที่เรารู้สึกขอบคุณพวกคุณอย่างสุดหัวใจได้เพื่อบอกความรู้สึกเหล่านั้นให้กับคุณ… พวกเราจะพยายามมากขึ้น ! กับทั้งหัวใจ ! ให้กับการร้องเพลง”
หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความลำบากในครั้งนั้น โซนยอชิแด ก็ยังคงมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นงานพรีเซ็นเตอร์เครื่องแบบนักเรียน Elite Uniform, พรีเซ็นเตอร์ Samsung Soul Phone (ทิฟฟานี่ ยูริ เจสสิก้า), ฟีเจอร์ริ่งกับ 8eight (เจสสิก้า) ไปจนถึง พรีเซ็นเตอร์เกมส์ของ Nexon อย่าง ‘Maple Story’ และ ‘Mabinogi’ รวมถึง ‘Bubble Fighter ส่งผลให้ได้รับความรักจากเกมเมอร์หนุ่มได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว
ต้นเดือนสิงหาคม 2551 โซนยอชิแดจัดกิจกรรมฉลองเดบิวครบรอบ 1 ปี พร้อมกับแฟนคลับที่ได้ร่วมงานกว่า 2,000 คน ภายในงานพวกเธอก็ยังได้เปิดตัวชื่อกลุ่มแฟนคลับอย่างเป็นทางการครั้งแรกอีกด้วย โดยคำว่า S♡ne (อ่านว่า 소원-โซวอน) และความหมายของชื่อ S♡ne นี้คือ SO-ONE (So=โซนยอชิแด, ONE=แฟนคลับ,หนึ่งเดียว) เมื่อนำตัว O+O มารวมกัน (โซนยอชิแด+แฟนคลับ) ก็จะกลายเป็น ♡ นั่นหมายถึงโซนยอชิแดรวมกับแฟนคลับกลายเป็นใจดวงเดียวกัน S♡ne นอกจากนี้ชาวเน็ตบางคนยังบอกถึงที่มาของชื่อนี้ด้วยเช่น ♡ นั้นมีความหมายได้อีกว่าคือ ยองวอนฮี (영원히-ตลอดไป) นั่นเอง
โซนยอชิแด ได้ผ่านช่วงเวลาแห่งความกดดันมาพร้อมกับการยอมรับจากบรรดาแฟนคลับกลุ่มอื่นอีกครั้งในคอนเสิร์ตสุดยิ่งใหญ่แห่งปีอย่าง ‘SMTOWN LOVE’08’ ช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2551 ที่เกาหลี โดยหลังจากงานในครั้งนี้จบลง ผู้คนในวงการต่างออกมากล่าวกันว่านี่คือการเติบโตของวัฒนธรรมแฟนคลับขึ้นไปอีกระดับหนึ่งกันเลยทีเดียว
กันยายน 2551 โซนยอชิแด เริ่มผันตัวเข้าสู่วงการรายการวาไรตี้ด้วยการประเดิม Mnet ‘Factory Girl’ และได้ปรากฏตัวในรายการเพลงต่างๆ รวมถึงการเริ่มมีงานแฟชั่นในนิตยสาร พร้อมทั้งได้รับเชิญให้เข้าร่วมในงาน ‘2008 Asia Song Festival ครั้งที่ 5’ และในขณะเดียวกันก็เริ่มมีข่าวลือว่าพวกเธอนั้นเตรียมเปิดตัวผลงานอัลบั้มชุดใหม่ ซึ่งสุดท้ายแล้วแฟนๆก็ต้องผิดหวังไปตามๆกันเพราะว่าพวกเธอยังไม่ได้เปิดตัวในเวลานั้นแต่อย่างใด
ในขณะที่ช่วงปลายปี 2551 บรรดาสมาชิกโซนยอชิแดต่างก็เดินสายแยกกันทำกิจกรรมเดี่ยวกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น แทยอนที่มีเพลงประกอบละคร ‘Beethoven Virus’ อย่าง’ Can You Hear Me’, ซอฮยอน ร่วมกับ จูฮยอนมิ ในเพลงโทรท ‘Jjalajajja’
อุปสรรคของ โซนยอชิแด ไม่ได้มีเฉพาะแต่ทางด้านแฟนๆเท่านั้น แต่พวกเธอยังได้รับผลกระทบจากปัญหาระหว่างต้นสังกัดกับทางสถานีโทรทัศน์ด้วย โดยเมื่อเดือนธันวาคม 2551 โซนยอชิแด ได้รับคำยืนยันจากทางสถานี MBC ว่าจะได้กลับมาโชว์ในรายการ ‘Music Core’ อีกครั้งหลังจากมีปัญหาไม่ลงรอยกันกว่า 1 ปีเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเธอคัมแบ็คในวันที่ 7 มกราคม 2552 พร้อมกับผลงานมินิอัลบั้ม ‘Gee’ โซนยอชิแด ก็ยังคงประสบปัญหาคล้ายกันกับทางสถานี KBS จนกว่าจะได้ขึ้นโชว์ก็ล่วงเลยเวลาไปกว่า 3 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม มินิอัลบั้มที่มีเพลงแดนซ์สุดสดใสอย่าง ‘Gee’ ที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2552 ซึ่งมาพร้อมกับท่วงทำนองที่เน้นคำซ้ำๆและติดหูฝีมือการประพันธ์ของ ‘E-TRIBE’ ส่งผลให้งานเพลงชุดนี้ได้รับความนิยมจากแฟนๆได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการคว้าอันดับที่ 1 ‘Mutizen Song’ ในรายการ SBS ‘Ingygayo’ 3 สัปดาห์ซ้อน, อันดับที่ 1 ใน K-Chart รายการ KBS 2TV ‘Music Bank’ เป็นเวลา 9 สัปดาห์ติดต่อกัน รวมถึงชาร์ตเพลงออนไลน์ทั่วเกาหลีสามารถสร้างสถิติการติดชาร์ตที่ยาวนานที่สุดได้เป็นจำนวนมาก และยังสามารถทำยอดจำหน่ายได้มากกว่า 100,000 ชุด อีกครั้ง ส่งผลให้งานเพลง ‘Gee’ ถือเป็นงานเพลงที่เริ่มต้นในปี 2552 ได้อย่างงดงาม
พวกเธอกล่าวหลังจากได้รับรางวัล 9 สัปดาห์ในรายการ Music Bank เผย “ตลอดช่วงระยะเวลาที่เราทำกิจกรรมเราก็ได้รับเสียงให้กำลังใจจากแฟนๆทุกคนอย่างแรงกล้า โดยเฉพาะกับที่พวกคุณต้องรอพวกเราเพื่อเข้าชมในรายการเพลงท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็น พวกเราต้องขอบคุณจริงๆค่ะ” เสริม “ตอนนี้พวกเราแต่ละคนก็กำลังเตรียมตัวกันอย่างหนักเพื่อโชว์ภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นไปอีก พวกเราอยากให้ทุกคนติดตามผลงานอัลบั้มใหม่ของพวกเราซึ่งพวกเราจะทำกันอย่างตั้งใจกันด้วยนะคะ” อีกทั้ง “พวกเราเชื่อว่าทุกคนจะให้การสนับสนุนเราต่อไปในวันข้างหน้า วันนี้โซนยอชิแด วันข้างหน้าก็โซนยอชิแด โซนยอชิแดตลอดกาล”
มีนาคม 2552 หลังจากที่ โซนยอชิแด ยุติการโปรโมทงานเพลง ‘Gee’ พวกเธอก็ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยในงาน ‘PATTAYA MUSIC FESTIVAL 2009’ รวมถึงยังได้กิจกรรมแจกลายเซ็นและโปรโมทผลงานอัลบั้มใหม่ ‘Gee’ ตามรายการต่างๆ จนคว้าหัวใจโซวอนชาวไทยกันไปอย่างถ้วนหน้า พร้อมกันนี้ยังได้เปิดเผยเมื่อตอนมาเมืองไทยด้วยว่า “พวกเรารู้สึกมีความสุขมากๆเลยค่ะเพราะว่าที่ไทยเพลงของเราก็ติดชาร์ตที่หนึ่งถึงหกสัปดาห์ ถ้าไม่มีแฟนเพลงก็เรื่องพวกนี้ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนค่ะ ตอนนั้นพวกเราอยากรีบมาที่เมืองไทยมากเลย แต่ติดงานที่เกาหลีค่ะต้องขอโทษแฟนเพลงชาวไทยมากนะคะ แต่ตอนนี้พวกเราก็ได้มาแล้ว ก่อนที่เราจะกลับไปเกาหลีก็อยากเจอแฟนเพลงชาวไทย อยากใกล้ชิดกับแฟนๆ และอยากให้ทุกคนช่วยติดตามเพลงของพวกเราด้วยค่ะ”
ในเดือนเดียวกัน ทิฟฟานี่ (Tiffany) ก็มีผลงานเพลงเดี่ยวเป็นครั้งแรกกับเพลงประกอบละคร ‘Princess Ja Myung Go’ อย่าง ‘By Myself’ รวมถึงการร่วมดูเอ็ทในงานเพลงของ K.Will และยังได้เข้ารับหน้าที่รายการ MBC ‘Music Core’ ร่วมกับ ยูริ (Yuri) อีกด้วยเช่นกัน
โซนยอชิแด รีเทิร์นวงการเพลงอีกครั้งพร้อมมินิอัลบั้มชุดที่ 2 ‘Tell Me Your Wish’ ในเดือนมิถุนายน 2552 ซึ่งพวกเธอได้พลิกโฉมภาพลักษณ์จากสาวรุ่นแสนน่ารักสดใสมาเป็นสาวสุดเซ็กซี่ที่โชว์เรียวขาอันงดงามจนได้สร้างเทรนด์ท่าเต้นอย่าง ‘เชกีชากีชุม (เตะตะกร้อ)’ ที่คนในวงการต่างเต้นตามกันกันถ้วนหน้า และก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่โซนยอชิแดสามารถส่งมินิอัลบั้มชุดที่ 2 ทะลุ 100,000 ชุดได้ รวมถึง 3 งานเพลงติดต่อกันเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จได้เป็นอย่างมาก
โซนยอชิแด นับเป็นเกิร์ลกรุ๊ปที่มีความเป็นตัวของตัวเองจากการเผยให้เห็นภาพลักษณ์ที่แท้จริง ในรายการวาไรตี้ยอดฮิต ‘So Nyeo Shi Dae’s Hello Baby’ ทางช่อง KBS JOY ซึ่งเมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมาสำนักเรตติ้ง ‘AGB Nielson’ ได้เปิดเผยว่ารายการ ‘So Nyeo Shi Dae’s Hello Baby’ ตอนที่ 5 ที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 21 กรกฏาคม 2552 สามารถทำเรตติ้งได้สูงที่สุดในช่วงเวลาเดียวกันเมื่อเทียบกับรายการจากช่องเคเบิ้ลช่องอื่นๆ
และยิ่งตอกย้ำความฮ็อตมากขึ้นไปอีกเมื่อสมาชิกโซนยอชิแด อย่าง เจสสิก้า ได้ร่วมในโปรเจคพิเศษ MBC ‘Infinity Challenge – Olympic Duet of Song Festival’ โดยเธอดูเอ็ทเพลงกับดาราตลกชื่อดัง พัคมยองซู ฝีมือการประพันธ์ของ ‘E-TRIBE’ ซึ่งทันทีที่เปิดตัวเพลงของเธอก็สามารถคว้าอันดับที่ 1 ในชาร์ตเพลงออนไลน์ได้อย่างถ้วนหน้า
ปี 2552 นับเป็นปีทองของ โซนยอชิแด ซึ่งนอกจากประสบความสำเร็จในด้านงานเพลงแล้ว งานสายอื่นๆอย่างด้านการแสดง (ยุนอา) รวมถึงงานวาไรตี้ และการได้เป็นศิลปินรับเชิญตามรายการต่างๆก็ได้รับความรักอย่างมากจากบรรดาแฟนๆ โดยเฉพาะในผลสำรวจต่างๆที่ชื่อของโซนยอชิแดหรือสมาชิกในวงที่ต่างก็ครองอันดับที่ 1 ได้อยู่บ่อยครั้ง ก็ยิ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความนิยมอย่างที่บรรดาสื่อมวลชนต่างยกให้เธอเป็น ‘เกิร์ลกรุ๊ปแห่งเกาหลี’ กันอย่างถ้วนหน้า
และสิ่งที่ดูเหมือนจะกลายเป็นความภูมิใจสำหรับ โซนยอชิแด และบรรดาแฟนคลับที่ต่างร่วมกันผ่านช่วงเวลาแห่งหยาดน้ำตาและความยากลำบากตลอดกว่า 2 ปีที่ผ่านมา คือการที่พวกเธอกำลังจะเตรียมมีคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในชีวิตหลังจากเดบิว โดยคอนเสิร์ตในครั้งนี้จะเปิดฉากขึ้นที่กรุงโซล ในวันที่ 19~20 ธันวาคม 2552 รวมทั้งหมด 2 รอบ รวมไปถึงเซียงไฮ้ และประเทศไทย ที่เรียกได้ว่างานนี้บรรดาแฟนคลับอย่างโซวอนก็อดปลื้มไม่ได้อย่างถ้วนหน้ากันเลยทีเดียว
(ข่าวประชาสัมพันธ์)
ชาวโซวอนสนใจบินลัดฟ้าไปดูคอนเสิร์ตครั้งแรกของสาวๆโซนยอชิแดที่ประเทศเกาหลีใต้ ติดต่อได้ที่ pingbookpresale@hotmail.com